สำหรับคุณแม่มือใหม่ป้ายแดง นอกจากเรื่องของลูกน้อยที่ต้องคอยเป็นกังวลแล้ว อีกสิ่งที่หนีไม่พ้นก็คือปัญหาเรื่องหน้าท้องย้วย ๆ หย่อน ๆ หลังคลอด เพราะในช่วงตั้งครรภ์บรรดาคุณแม่มักมีรูปร่างและสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากการบำรุงร่างกายเพื่อลูก ซึ่งการจะทำให้สัดส่วนกลับคืนสู่ความกระชับ ฟิต เฟิร์ม ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่สามารถทำได้ภายในวันสองวัน อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งถอดใจ หรือโบกธงขาวยอมรับความพ่ายแพ้กันแต่เนิ่น ๆ ค่ะ เพราะในบทความนี้ เรารวบรวมวิธีลดหน้าท้องสำหรับคุณแม่หลังคลอดมาฝากถึง 10 วิธี รับรองว่าหากทำตาม หุ่นสวยแซ่บต้องกลับมาแน่นอนค่ะ
ปัญหาหนักอกหนักใจหลังคลอดของบรรดาคุณแม่มือใหม่ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของรูปร่างและหน้าท้อง เนื่องจากระหว่างตั้งครรภ์จะมีการสะสมไขมันในร่างกายจากการกินอาหารต่าง ๆ เพื่อบำรุง รวมถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ยืดขยายออกเพื่อรองรับการขยายตัวของมดลูก ซึ่งกลายเป็นสภาวะกล้ามเนื้อหน้าท้องแยก หรือการเกิดช่องว่างระหว่างกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านซ้ายและด้านขวา ทำให้หลังจากคลอดแล้วก็ยังไม่อาจกลับสู่สภาพเดิมได้ ส่งผลให้ผิวหน้าท้องหย่อนคล้อยและไม่กระชับ ทำให้คุณแม่มือใหม่หลายคนขาดความมั่นใจ และคงกำลังมองหาวิธีแก้ไขกันแน่ ๆ ซึ่งจะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันค่ะ
10 วิธีลดหน้าท้องหลังคลอด ฉบับคุณแม่มือใหม่
ส่วนใหญ่พุงของบรรดาคุณแม่จะเริ่มยุบหลังคลอดราว 1 – 2 เดือน แต่สำหรับบางรายอาจใช้เวลานานตั้งแต่ 6 เดือน – 1 ปีทีเดียว ซึ่งวิธีที่ช่วยให้หน้าท้องยุบได้ดีและเร็วขึ้น มีดังนี้
1. อยู่ไฟหลังคลอด
การอยู่ไฟคือวิถีที่อยู่คู่กับคนไทยมานานตั้งแต่โบราณ ซึ่งจะช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น ทำให้น้ำนมแม่ไหลได้ดี ช่วยลดน้ำหนัก ลดอาการบวมหลังคลอด และยังช่วยให้หน้าท้องยุบได้เร็วขึ้นอีกด้วย
2. ให้ลูกกินนมแม่
นมแม่นั้นสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันและความแข็งแรงของลูกน้อยมากทีเดียวค่ะ ซึ่งคุณแม่ควรให้นมลูกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือนเป็นอย่างน้อย อีกทั้งการให้นมลูกบ่อย ๆ ยังช่วยเผาผลาญทั้งพลังงาน ไขมัน และช่วยลดหน้าท้องหลังคลอดได้อย่างดี
3. กินอาหารที่มีประโยชน์
แม้จะคลอดแล้ว คุณแม่ก็ยังต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อนำไปเป็นสารอาหารในน้ำนม และฟื้นฟูร่างกายของตัวเอง โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีน ไฟเบอร์ แร่ธาตุ และวิตามินต่าง ๆ ส่วนอาหารประเภทแป้งกับน้ำตาลสูงควรหลีกเลี่ยง หรือบริโภคให้น้อยลง เพื่อไม่เป็นการเพิ่มไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องค่ะ
4. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
ควรดื่มน้ำเปล่าประมาณวันละ 2 – 3 ลิตร เพื่อช่วยให้น้ำนมไหลได้ดี เพิ่มความสมดุลต่อร่างกาย ผิวพรรณ ทำให้ระบบเผาผลาญดีขึ้น และเท่ากับช่วยให้หน้าท้องยุบเร็วขึ้นด้วยนั่นเอง
5. การออกกำลังกาย
แน่นอนว่าเพื่อให้ไขมันสะสมตามร่างกายและหน้าท้องยุบไวขึ้น การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากค่ะ ไม่จำเป็นต้องเลือกออกแบบหักโหม แต่เน้นไปที่รูปแบบง่าย ๆ สบาย ๆ อย่างการเล่นโยคะ แอโรบิก เดิน หรือพยายามเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ และสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดการเผาผลาญพลังงานตลอดเวลา
6. ใส่สายรัดหน้าท้อง
สายรัดหน้าท้องจะช่วยให้พุงกระชับขึ้น ช่วยพยุงส่วนหลังได้ดี แต่ไม่จำเป็นต้องใส่ทั้งวันค่ะ อาจเลือกใส่ในระหว่างทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงช่วงออกกำลังกาย วันละประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง ทว่าต้องใส่หลังจากแผลคลอดหายสนิทดีแล้วเท่านั้นนะคะ
7. ฝึกแขม่วหน้าท้อง
การแขม่วหน้าท้องมีประโยชน์กว่าที่คิดค่ะ เพราะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง แก้ปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยกจากการตั้งครรภ์ได้ดี และส่งเสริมให้ระบบขับถ่ายทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นอีกต่างหาก
8. การนวดหน้าท้อง
เป็นวิธีที่ควรเลือกทำกับผู้เชี่ยวชาญ เพราะเป็นการนวดมือร่วมกับการใช้น้ำมัน เพื่อช่วยให้ไขมันแตกตัวและถูกขับออกจากร่างกาย ระหว่างนวดคุณแม่จะรู้สึกผ่อนคลายสุด ๆ ทว่าใช้เวลานานมากกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ดี โดยมักต้องทำต่อเนื่อง 6 – 12 ครั้งขึ้นไป
9. ผ่าตัดยกกระชับหน้าท้อง
เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาค่อนข้างรุนแรง ซึ่งเป็นการผ่าตัดเอาหน้าท้องส่วนเกินออก และตกแต่งให้แบนราบ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดจึงมีความเสี่ยง จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นค่ะ
10. สลายไขมันและกระชับหน้าท้องด้วย CoolSculpting Elite
วิธีนี้ปลอดภัยต่อคุณแม่หลังคลอดอย่างมากค่ะ เพราะเป็นวิธีที่ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่มีการผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น เนื่องจาก CoolSculpting คือการใช้หัวอุปกรณ์ดูดติดเข้ากับผิวบริเวณหน้าท้อง แล้วส่งความเย็นจัดเข้าไปแช่แข็งเซลล์ไขมันให้ตายลง หลังจากนั้นเซลล์ไขมันจะถูกกำจัดออกโดยผ่านกระบวนการธรรมชาติของร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งระยะเห็นผลคือ 4 สัปดาห์หลังทำ และชัดเจนที่สุดในเดือนที่ 3 หน้าท้องจะเล็กลง และมีความกระชับขึ้น
CoolSculpting Elite คือเทคโนโลยีที่ใช้ความเย็นในอุณหภูมิ -11 ถึง -13 องศาเซลเซียส ส่งเข้าไปสลายไขมันสะสมใต้ชั้นผิว โดยใช้กระบวนการ Cryolipolysis ดึงความร้อนออกจากเนื้อเยื่อ และแทนที่ด้วยความเย็น ซึ่งจะแช่แข็งเซลล์ไขมันให้ตายลง แบบไม่ส่งผลกระทบต่อผิวหนังหรือเซลล์ข้างเคียง โดยเป็นวิธีที่ไม่มีการผ่าตัด จึงไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ เซลล์ไขมันที่ตายแล้วจะค่อย ๆ ถูกกำจัดทิ้งจากร่างกายตามธรรมชาติ ซึ่งจะเริ่มเห็นผลความเปลี่ยนแปลง 1 เดือนหลังทำ และชัดเจนที่สุดในเดือนที่ 3 ซึ่งในการทำ 1 ครั้ง สามารถกำจัดไขมันได้ 25 – 30% บรรดาคุณแม่จะได้หน้าท้องที่เล็กลง และกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
แน่นอนว่า CoolSculpting Elite ไม่เพียงทำบริเวณหน้าท้องได้ แต่สามารถช่วยกระชับสัดส่วนเฉพาะจุดได้ทั้งตัวทีเดียวค่ะ ไม่ว่าจะบริเวณเล็ก ๆ อย่างเหนียงหรือใต้รักแร้ รวมไปถึงต้นแขน ต้นขา แผ่นหลัง ห่วงยางรอบเอว และสะโพก หากใครกังวลว่าเทคโนโลยีนี้ปลอดภัยแน่ไหม วางใจได้เลยค่ะ เพราะ CoolSculpting Elite นั้นถูกคิดค้นและพัฒนาโดยคณะแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งได้รับการรับรองจาก FDA ว่าปลอดภัย และสามารถสลายไขมันและกระชับสัดส่วนเฉพาะจุดได้จริง อีกทั้ง CoolSculpting Elite ยังสามารถทำซ้ำได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น โดยควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 สัปดาห์ – 1 เดือนค่ะ