สำหรับใครที่กำลังพิจารณาการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก มีหลายปัจจัยด้านสุขภาพที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ การตรวจสุขภาพอย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการผ่าตัดนี้ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ต่อไปนี้คือ 4 โรคเรื้อรังที่อาจส่งผลต่อการผ่าตัด ซึ่งควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
1. ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ระบบภูมิคุ้มกันมีหน้าที่ปกป้องร่างกายจากแบคทีเรีย ไวรัส และสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ หากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือทำงานผิดปกติ ร่างกายจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายขึ้น การผ่าตัดจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
หากภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง อาจส่งผลให้แผลหายช้าหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบ การติดเชื้อแผลผ่าตัด หรือการปฏิเสธสิ่งแปลกปลอมจากร่างกาย นอกจากนี้ ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้หรืออักเสบจากวัสดุที่ใช้ในการผ่าตัด ซึ่งอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ในระยะยาวได้ ดังนี้
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น : ทำให้ร่างกายมีโอกาสติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด เชื้อรา หรือโรคติดต่ออื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง : ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแออาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคเอดส์
- เพิ่มโอกาสในการแพ้และปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอม : อาจทำให้ร่างกายตอบสนองต่อวัสดุที่ใช้ในการผ่าตัดผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการแพ้หรืออักเสบ
2. ผู้ที่ต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องสำหรับโรคเรื้อรัง
เช่น โรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากตัวยาบางชนิดอาจส่งผลต่อกระบวนการผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติระหว่างและหลังการผ่าตัด
นอกจากนี้ การใช้ยาสเตียรอยด์อาจส่งผลให้แผลหายช้าลงและเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ ยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาสลบหรือยาที่ใช้ระหว่างการผ่าตัด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์และการฟื้นตัวได้ ดังนี้:
- ผลข้างเคียงของยา : ยาบางประเภท เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด
- ผลกระทบต่อการฟื้นตัว : ยารักษาโรคบางชนิดอาจส่งผลต่อการสมานแผล ทำให้การฟื้นตัวช้าลงและเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ
3. ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม
หากครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากพันธุกรรมอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในอนาคต ผู้ที่มีญาติสายตรง เช่น แม่ พี่สาว หรือน้องสาว เป็นมะเร็งเต้านม ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพและคัดกรองมะเร็งเต้านมตามคำแนะนำของแพทย์
การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) หรืออัลตราซาวด์เต้านมสามารถช่วยประเมินความเสี่ยงและตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น นอกจากนี้ การเข้ารับการผ่าตัดอาจส่งผลต่อการตรวจวินิจฉัยมะเร็งเต้านมในอนาคต ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อเลือกแนวทางที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับสุขภาพของตนเอง
4. โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (Blood Clotting Disorders)
โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (Blood Clotting Disorders) เช่น ฮีโมฟีเลีย (Hemophilia), ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia), และภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (Deep Vein Thrombosis – DVT) สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกระบวนการผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเสียเลือดและการสมานแผลของร่างกาย ทั้งยังส่งผลกระทบดังนี้
- ความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกมากผิดปกติระหว่างผ่าตัด : เช่น ภาวะเลือดออกไม่หยุด, ทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก
- ความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน : ทำให้ลิ่มเลือดก่อตัวและอุดตันในเส้นเลือด
- เพิ่มโอกาสการติดเชื้อ : อาจทำให้แผลหลังการผ่าตัดสมานตัวช้ากว่าปกติ หรือเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
สรุปโรคไหนบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงการศัลยกรรม
หากคุณเป็นคนที่กำลังวางแผนทำศัลยกรรม ควรให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ดังนั้นก่อนตัดสินใจเข้ารับการศัลยกรรม ควรประเมินตนเองว่ามีอาการหรือป่วยด้วยโรคเสี่ยงเช่น โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงหรือไม่
ควรปรึกษาแพทย์ผู้ให้บริการ เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมและเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับร่างกายของคุณ พร้อมทั้งเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน เพื่อเพิ่มความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ